วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

เกาะร้างเปี่ยมรัก---ตอนที่ 3 (ยังไม่จบ)

เกาะร้างเปี่ยมรัก


ตอนที่ 3


                เมื่อคืนกว่าอรรณพจะเข้านอนก็เป็นเวลาเกือบรุ่งสางแล้ว แต่ทันทีที่นาฬิกาปลุกส่งเสียงเตือนร่างโปร่งก็สามารถตื่นขึ้นมาได้อย่างไม่อิดออด อรรณพเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันของตนด้วยการแปรงฟันเหมือนเช่นทุกวัน และหลังจากเป่าหนวดเคราของตนให้แห้งดีแล้ว เขาก็ไปที่ห้องของน้องชายเพื่อดูให้แน่ใจว่าธารตื่นขึ้นมาทานยาตามที่แพทย์สั่งแล้ว

            “พี่เปิดเข้าไปนะธาร” พี่ชายบอกพร้อมกับเคาะประตูสามครั้ง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ติดกัน

            สิ่งแรกที่เห็นคือร่างโปร่งบางของน้องชายที่กำลังยืนขาเดียวอยู่บนพรมยางสีชมพูแปร๋น มือทั้งสองข้างประกบกันอยู่เหนือศีรษะฝ่าเท้าข้างหนึ่งวางอยู่บนต้นขาอีกข้างของตนเอง ท่านี้เรียกว่าท่าต้นไม้ แต่อรรณพไม่เคยรู้จัดชื่อนี้ เขาแค่เคยเห็นผ่านตามาบ้างเท่านั้น

            สีหน้าของธารดูสดชื่นแจ่มใสไม่เหมือนคนที่กำลังป่วยเลยแม้แต่สักนิด นั่นทำให้อรรณพรู้สึกดีขึ้นแม้จะยังไม่คลายความกังวลลงก็ตาม

            “เดี๋ยวนี้หัดเล่นโยคะแล้วหรอ?” ผู้เป็นพี่ทักอย่างผิดสังเกต ปกติแล้วธารมักจะออกไปวิ่งริมหาดยามเช้ากับเขาในทุกๆ เช้า หรือไม่ก็ไปเล่นฟุตบอลกับพวกคนงานในตอนเย็น ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมาออกกำลังกายด้วยวิธีนุ่มนวลแบบนี้

            “สารวัตรแนะนำมาครับ บอกว่านอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้วยังช่วยฝึกสมาธิไปในตัวด้วย” ธารตอบยิ้มๆ ขณะลดมือลงมาที่ระดับอก เปลี่ยนท่ากลับมายืนตรง

“สารวัตร?” อรรณพทวนถามพร้อมกับพยายามนึกว่าน้องชายหมายถึงใคร ขณะเดียวกันธารก็ยกขาขึ้นทำท่าต้นไม้อีกครั้งโดยสลับข้างกันกับเมื่อสักครู่ พอธารจัดระเบียบร่างกายของตนได้สมดุลดีแล้ว อรรณพก็ร้อง “อ๋อ” ออกมาเสียดังลั่น เพราะภาพใบหน้าคมคายของสารวัตรที่ถูกกล่าวถึงปรากฏขึ้นมาในหัวพอดี

“สารวัตรคนใหม่ที่ตามจีบแกอยู่น่ะหรือ? สรุปว่าคบกันแล้วสินะ”

“ม---ไม่ใช่นะ ผ---ผมกับเขาก็แค่เพื่อนกันเท่านั้นแหละ” น้องชายรีบแก้ตัวทั้งใบหน้าขึ้นสี แถมยังเสียการทรงตัวล้มก้นจ้ำเบ้าอีกต่างหาก อาการที่เห็นแล้วชวนให้นึกเอ็นดูอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

“หึ” อรรณพหัวเราะขบขันกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของน้องชาย นัยน์ตาคมที่โผล่พ้นความรกครึ้มบนใบหน้าออกมานั้นทอประกายระยับยามที่กล่าวว่า “เพื่อนกันก็เพื่อนกัน ว่าแต่กินยาแล้วใช่ไหม?”

“ตรงเวลาเสมอ ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะพี่” ธารตอบพลางลุกขึ้นและตั้งท่าจะทำโยคะต่อให้จบตามที่ตั้งใจไว้

“นายก็รู้ว่าถ้าพี่ไม่ถามให้แน่ใจคงกังวลไปทั้งวัน”

            “ต้องพูดว่าตรวจสอบให้แน่ใจจะดีกว่ามั้งครับ” ผู้เป็นน้องกล่าวยิ้มๆ สายตาจับจ้องไปที่มือของพี่ชาย ฝ่ายคนที่กำลังถือซองยาของน้องชายอยู่ในมือก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ อย่างไร้ข้อแก้ตัว เมื่อครู่อรรณพกำลังนับเม็ดยาในซองเพื่อให้มั่นใจว่าน้อยชายทานยาตามที่พูดแล้วอยู่จริงๆ

            “โทษที มันติดเป็นนิสัยไปแล้ว” อรรณพพูดได้เพียงเท่านั้น เขาวางซองยาลงบนโต๊ะ ภาพเก่าๆ สมัยที่ต้องคอยบังคับขู่เข็ญเล่นสงครามปัญญากับน้องชายให้เจ้าจอมดื้อยอมกินยาย้อนกลับเข้ามาในหัว แต่ก็เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เพราะเสียงของธารดังขัดขึ้นเสียก่อน

            “นั่นสินะครับ เมื่อก่อนผมมันงี่เง่าเสียจนทำให้ทุกคนลำบากกันไปหมด ผมนี่มันแย่จริงๆ” รอยยิ้มเศร้าๆ กับสายตาที่แฝงไปด้วยความชิงชังต่อตัวเองของธาร ทำให้บรรยากาศภายในห้องหม่นหมองลงในทันที สีหน้าและแววตาชนิดนั้นทำให้อรรณพนึกอยากจะเข้าไปกอดปลอบ แต่เขาก็ต้องห้าใจเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นธารจะยิ่งรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม

            ฝ่ามือหนาวางลงบนกลุ่มผมนุ่มๆ ของน้องชาย น้ำหนักที่กดลงมาไม่ได้ทำให้รู้สึกหนัก ตรงกันข้ามมันกลับทำให้หัวใจที่หนักอึ้งเบาขึ้นอย่างน่าประหลาด แต่กระนั้นความหม่นหมองในใจก็ยังไม่จางหายไป

อรรณพโยกศีรษะได้รูปของน้องชายเบาๆ อย่างเอ็นดู และบอกว่า “อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิธาร เมื่อก่อนที่นายไม่ยอมกินยาก็เพราะไม่อยากเป็นเด็กอ่อนแอ ไม่อยากเป็นภาระใครไม่ใช่หรอ ทุกคนรู้และเข้าใจในความหวังดีของนายนะ ไม่มีใครคิดโกรธ หรือรู้สึกว่าลำบากหรอก”

            “แต่มันก็ทำให้ทุกคนลำบากจริงๆ นี่ครับ” ธารว่า สีหน้ายังเศร้าไม่คลาย

            “ทุกคนเต็มใจที่จะดูแลนาย ไม่มีใครคิดว่านายเป็นภาระหรอกนะรู้ไหม”

            “ผมรู้ครับ แต่มันก็อดที่จะคิดไม่ได้อยู่ดี”

            “ถ้านายยังคิดอย่างนั้น จากนี้ไปก็ดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้ทุกสิ่งที่ทุกๆ คนทำมาต้องสูญเปล่านะรู้ไหม” เมื่อเห็นว่าคงจะเปลี่ยนใจน้องชายไม่ได้ อรรณพจึงเลือกที่จะพูดไปแบบนั้น น้ำเสียงทุ้มนุ่ม กับสัมผัสอ่อนโยนที่เรือนผมทำให้ธารคลายความหม่นหมองลงได้ ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองอีกครั้งว่าจะดูแลตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อว่าสิ่งที่ทุกคนทำให้เขาตลอดเวลาที่ผ่านมาจะไม่ต้องสูญเปล่า

            “ครับ ผมจะดูแลตัวเองอย่างดี” ผู้น้องรับคำเป็นมั่นเหมาะ แล้วถือโอกาสพูดกับพี่ชายว่า “พี่เองก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับ อย่าหักโหมจนล้มไปเหมือนครั้งนั้นอีกนะ”

            “ครั้งนั้น” ที่ธารกล่าวถึงคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นอรรณพต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะหักโหมทำงานมากเกินไปจนร่างกายรับไม่ไหว เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ธารตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่กับพี่ชาย เพื่อที่จะได้คอยดูแลไม่ให้จอมบ้างานอย่างอรรณพฝืนตัวเองจนล้มลงอีก

            “ถึงนายจะไม่บอก เจ้าพวกนั้นก็คอยฟ้องคุณท่านอยู่แล้วล่ะ” ผู้เป็นพี่ชายทำหน้าเมื่อยเมื่อพูดถึงบรรดาลูกน้องคนสนิทที่คอยจ้องจับผิดเขาอยู่ตลอดเวลา แถมยังช่างฟ้องเป็นที่หนึ่งอีกต่างหาก แค่ทานมื้อเที่ยงผิดเวลาไปนิดเดียวเรื่องก็ไปถึงหูคุณท่านได้แล้ว และอรรณพก็จะถูกคุณท่านบ่นจนหูชาไปทุกครั้ง จนสุดท้ายอรรณพก็ต้องยอมดูแลตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้

            ธารหัวเราะขำเล็กน้อยกับท่าทีของพี่ชาย “ถ้าไม่ชอบให้สามคนนั้นมาวุ่นวาย พี่ก็หาคนพิเศษสักคนสิครับ” ชายหนุ่มให้คำแนะนำ

            “คนพิเศษ?”

            “ครับ คนพิเศษที่ไม่ทำให้พี่รู้สึกอึดอัดเวลาที่เขาเข้ามาดูแลชีวิตของพี่ไงครับ” คำแนะนำของน้องชายทำให้อรรณพได้แต่ยิ้มอ่อน ไม่อยากจะแย้งให้เสียน้ำใจว่าคนบ้างานอย่างเขาจะมีสาวที่ไหนมาสนใจ จึงพูดออกไปแค่ว่า

            “ก็หวังว่าจะเจอคนแบบนั้นเข้าสักวันล่ะนะ” พูดจบก็ทำท่าจะขอตัวไปทำงาน แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคุณท่านสั่งให้เขาไปเกาะสองกับคุณหนูตั้งแต่วันนี้ “จริงสิพี่ยังไม่ได้คุยกับนายเรื่องที่จะให้ดูแลงานระหว่างที่พี่ไปอยู่เกาะเลยนี่”

            จบคำของพี่ชายยามเช้าอันแสนสงบสุขของธารก็เป็นอันทลายลงในพริบตา แต่ถึงจะต้องมานั่งประชุมเรื่องงานที่น่าปวดหัว ธารก็ไม่คิดเบื่อหรือรำคาญเลยสักนิด ความจริงแล้วเขาดีใจเสียด้วยซ้ำที่พี่ชายจะได้หยุดพักจากเรื่องงานบ้าง

“นายจัดการตามนี้ก็แล้วกันนะ ส่วนที่โรงแรมก็ให้พี่สร้อยช่วยดูอีกแรงนายจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป” อรรณพกล่าวสรุปหลังจากบอกรายละเอียดงานมานานกว่าหนึ่งชั่วโมง

            “ครับ ผมจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ” ธารรับคำทั้งรอยยิ้ม ใบหน้าและเนื้อตัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจากการออกกำลังกาย ใช่ ตลอดเวลาที่คุยเรื่องงานกันอยู่นั้นธารก็ทำโยคะของตนไปด้วย เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่การประชุมที่เคร่งเครียดจริงจังอะไรอยู่แล้ว และอรรณพก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วย

            “ฝากด้วยนะธาร” อรรณพบอกพลางลุกขึ้นยืน “วันนี้เริ่มงานตามปกติไม่ต้องรีบนะ แต่เดี๋ยวพี่จะไปที่บ้านใหญ่ ต้องบอกให้ทอยจัดของลงเรือให้หน่อย แล้วก็ต้องพาคุณหนูไปขอโทษคู่กรณีด้วย”

            “อย่าลืมหากระเช้าหรือช่อดอกไม้ติดมือไปด้วยนะครับ” ผู้น้องให้คำแนะนำด้วยทราบดีว่าพี่ชายของตนคงคิดไปไม่ถึงขั้นนั้น “ถึงจะดูเสแสร้งไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรติดมือไปเลย ส่วนเรื่องค่าทำขวัญ ผมว่ารอทางนั้นเรียกร้องมาค่อยให้จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเขาจะมองว่าเราเอาเงินฟาดหัวเขาได้”

            “แต่ถ้าไม่ให้ เขาก็อาจจะมองว่าเราไม่รับผิดชอบหรือเปล่า?” คนที่เพิ่งจะฉุกคิดถึงเรื่องนี้ถามออกมา อรรณพไม่ถนัดเรื่องเจรจาเอาเสียเลย เพราะอย่างนั้นหน้าที่ดูแลบริหารโรงแรมจึงตกเป็นของธารอย่างที่ไม่มีใครคิดค้าน

            “ก็ถึงได้บอกให้เอากระเช้าหรือช่อดอกไม้ไปให้ไงครับ” คนน้องเตือนความจำให้ และกล่าวต่อไปว่า “นั่นเป็นของขอขมา นอกนั้นก็เป็นเรื่องของค่ารักษาพยาบาล ค่าที่พัก แล้วก็ค่าเดินทางกลับ”

            “ค่าที่พักพี่จำได้ว่าบอกคนที่โรงแรมไว้แล้วว่าไม่ต้องคิด ส่วนโรงพยาบาลเธอก็ยืนยันว่าจะไม่ไป ก็คงจะเหลือแต่ค่าเดินทางกลับล่ะนะ เดี๋ยวพี่ให้เจ้าทอยมันจัดการจองตั๋วให้ก็แล้วกัน” อรรณพพูดพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ปกติแล้วเขาไม่ได้จัดการเรื่องที่ดูซับซ้อนอ่อนไหวอย่างนี้เท่าไหร่ ครั้งนี้มีที่ปรึกษามือดีอย่างธารอยู่ด้วยจึงนับว่าโชคดีมาก

            “ว่าแต่กระเช้าที่ว่านี้ควรจะจัดเป็นอะไรดี? ผลไม้ หรือพวกซุปไก่รังนก?”

            “เดี๋ยวผมให้คนที่โรงแรมจัดให้ดีกว่าครับ” เมื่อเห็นว่าไว้ใจพี่ชายไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ผู้จัดการโรงแรมควบตำแหน่งรักษาการณ์หัวหน้าคนงานจึงตัดปัญหาด้วยการรับมาเป็นภาระของตน ซึ่งอรรณพก็ไม่คิดที่จะขัดอะไร

            เช้านั้นสองคนพี่น้องจึงเริ่มงานกันแต่เช้าตรู่ คนน้องจัดการหาของขวัญปลอบใจแก่หญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อในเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน ส่วนผู้พี่ก็ต้องไปจัดการห้ามศึกที่เกิดขึ้นในเรือนใหญ่


(ยังมีต่อ)


เกาะร้างเปี่ยมรัก---ตอนที่ 2

เกาะร้างเปี่ยมรัก

ตอนที่ 2

“อัน ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหม?”

            “อะไรครับ?”

            “ช่วยดัดนิสัยลูกชายฉันที”

            นั่นคือคำขอร้องจากผู้มีพระคุณที่เป็นเจ้านายของเขา อรรณพครุ่นคิดถึงคำขอร้องนี้อยู่ตลอดทางกลับบ้าน จนเกือบจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของคนงานที่สิ่งกระหืดกระหอบมาฟ้องถึงหน้าบ้านพักว่าคุณหนูพายุอาละวาดอีกแล้ว สาเหตุจากความไม่พอใจที่เพื่อนๆ ของตนถูกคนของอรรณพอบรม

            อรรณพรีบดิ่งไปที่เรือนใหญ่ทันที เมื่อก้าวเข้าไปในบ้านเขาก็ได้ยินเสียงพายุโวยวายลั่นบ้าน โดยมีเสียงของป้าอิ่มคอยพูดปรามอยู่เป็นระยะๆ

            “หยุดโวยวายซะทีเถอะครับคุณหนู” อรรณพตะเบ็งเสียงเอ็ดดังลั่น ฝ่ามือแกร่งคว้าจับข้อมือของพายุเอาไว้เพราะชายหนุ่มกำลังจะประเคนหมัดใส่ลูกน้องคนหนึ่งของเขา

            สิ้นเสียงของอรรณพทั้งห้องรับแขกก็เงียบกริบลงราวกับมีใครมาสับสวิตช์ ชายสามคนที่ถูกบังคับให้นั่งคุกเขาอยู่กลางห้องรับแขกเพื่อฟังการอบรมนั้นไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะพวกเขาหวาดกลัวต่อเสียงของอรรณพ หรือเป็นเพราะบรรดาลูกน้องทั้งสมของอรรณพได้ทำการข่มขู่เอาไว้ก่อนกันแน่ แต่คนที่ดูเหมือนว่าจะสงบอารมณ์ไม่ได้ก็คือพายุ ชายหนุ่มชะงักไปเพียงอึดใจหนึ่งเท่านั้นเมื่อถูกตะเบ็งเสียงใส่ ก่อนที่เขาจะเถียงกลับมาด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กันว่า

            “พวกแกทำกับเพื่อนฉันแบบนี้ จะไม่ให้โวยวายได้ยังไง ฉันเป็นเจ้านายของพวกแกนะ รู้จักเคารพกันบ้าง”

            “พวกเราที่นี่เป็นคนของคุณท่าน และจะเคารพแต่คุณท่าน ส่วนคุณหนู พวกเราก็ให้ความเกรงใจไม่แพ้กัน แต่นั่นก็เฉพาะในเรื่องที่ถูกที่ควรเท่านั้น” อรรณพตอบกลับเสียงนิ่ง แต่ก็ดังสะท้านไปทั่ว เขายังกล่าวต่อไปอีกว่า “ยิ่งคุณหนูทำตัวอย่างนี้พวกผมก็ยิ่งเกรงใจไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการทำผิดต่อคุณท่าน เพราะฉะนั้นคุณหนูยอมฟังผม และขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ เพื่อนๆ ของคุณหนู พวกผมจะอบรมนิดหน่อยแล้วก็จะปล่อยให้ไปพักเหมือนกัน”

            “พวกแกนั่นแหละที่ต้องฟังฉัน” พายุตวาดลั่น หันไปทางคนงานทั้งสามที่คุมตัวเพื่อนๆ ของตนอยู่ แล้วสั่งเสียงห้วนให้ปล่อยเพื่อนของตน แต่คนงานเหล่านั้นกลับไม่ยอมขยับแม้แต่นิด ด้วยวางใจว่าหัวหน้าของตนยังคงยืนหยัดเป็นเกราะกำบังและอำนาจที่ชอบธรรมให้แก่พวกตน

            “พวกนายอบรมเพื่อนของคุณหนูเสร็จแล้วค่อยปล่อยให้ไปพัก เดี๋ยวฉันจะคุยกับคุณหนูเอง” อรรณพกล่าวกับคนทั้งสามโดยไม่มองหน้าพร้อมกับลากแขนพายุขึ้นห้องไป ท่ามกลางเสียงโวยวายของคุณหนูตัวร้าย และเสียงตะโกนไล่หลังมาอย่างเป็นห่วงของป้าอิ่ม

            “คุณอันใจเย็นๆ ค่อยๆ คุยกับคุณหนูนะคะ”

            ซึ่งอันที่จริงแล้วประโยคนั้นหญิงชราสมควรที่จะกล่าวแก่พายุเสียมากกว่าเพราะทันทีที่อรรณพปล่อยมือเขาเมื่อมาถึงห้อง ชายหนุ่มก็ชกเข้าที่หน้าของอรรณพที่ไม่ทันระวังจนเซ

            หัวหน้าคนงานเบี่ยงตัวหลบไปได้ในการชกครั้งที่สอง มือแกร่งคว้าแขนของผู้ทำร้ายไว้ได้แล้วจับบิดไพล่หลังไปข้างหนึ่ง ก่อนจะโถมน้ำหนักใส่ร่างของพายุจนเสียหลักล้มลงบนเตียง อรรณพอาศัยโอกาสที่คุณหนูกำลังตกใจนั่งทับท่อนขาของชายหนุ่มเอาไว้ ขณะที่สองมือก็พันธนาการแขนทั้งสองข้างไม่ให้เคลื่อนไหวขัดขืนได้ถนัด

            “เลิกบ้าซะทีเถอะครับ!” อรรณพตวาดเสียงไม่ดังนัก นัยน์ตาคมจ้องสบกับนัยน์ตาดุดันของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดเกรงกลัว “คุณหนูจะโวยวายให้ได้อะไรขึ้นมา” เขาถาม “จะโวยวายให้เรื่องมันเลวร้ายไปกว่าเดิม หรือไม่รู้ว่าพวกคุณทำผิดอะไร?”

            พูดถึงตรงนี้แววตาของพายุก็ฉายประกายความรั้นออกมาให้เห็น อรรณพลอบถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “คุณหนูก็รู้ว่าการข่มขืนใครสักคนมันเป็นเรื่องที่ผิด ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เพราะฉะนั้นวางทิฐิลงเถอะครับ ถือไว้มันก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องดีขึ้น อย่างน้อยก็ยอมรับผิดสักนิด แค่นั้นก็พอแล้ว”

            “ก็แค่เล่นกันมันจะผิดอะไร” แต่พายุก็ยังเถียงไม่เลิกรา สีหน้าและแววตานั้นไม่ได้รู้ผิดเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับทำหน้าเหมือนกับพูดเรื่องทั่วๆ ไปอยู่ “พวกผู้หญิงก็แค่ทำสะดีดสะดิ้งไปเท่านั้นแหละ พอเอาใจเข้าหน่อยก็หัวเราะร่ากันทุกราย อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้จักเซ็กหมู่?”

            “ผมรู้ว่าเซ็กหมู่คืออะไร และก็แยกแยะได้ด้วยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไม่ใช่แบบนั้น มันเป็นการพยายามข่มขืนต่างหาก” อรรณพแย้งอย่างใจเย็น แม้ว่าภายในใจจะเดือดพล่านขึ้นมาแล้วก็ตาม

            “นายจะไปรู้อะไร ก็บอกแล้วไงว่ายายนั่นก็แค่ลีลาไปอย่างนั้นเอง จะบอกให้นะว่า ถ้ายายนั่นไม่ชอบเล่นหมู่ก็เป็นแฟนกับไอ้ทีไม่ได้หรอก”

            “แล้วคุณหนูรู้ได้ยังไงว่าเธอเหมือนแฟนคนก่อนๆ ของไอ้คุณทีอะไรนั่น” อรรณพถามกลับ พอถึงตอนนี้พายุก็ดูจะเถียงต่อไปไม่ได้แล้วเหมือนกัน ทิฐิในใจของชายหนุ่มมีมากเสียจนพยายามคิดเข้าข้างเพื่อนของตัวเองว่าผู้หญิงคนนั้นก็แค่แกล้งขัดขืน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วในตอนที่เกิดเรื่องพายุก็เริ่มนึกสงสัยขึ้นมาเหมือนกันว่า บางทีหญิงสาวอาจจะไม่เคยรับรู้ถึงรสนิยมประหลาดของเพื่อนของเขาเลยก็เป็นได้ ทว่าความคิดในตอนนั้นก็ถูกลืมไปเสียสนิทเมื่อมีคนหน้าตาป่าเถื่อนคนหนึ่งบุกเข้ามาขัดจังหวะและกล่าวหาเพื่อนของเขาว่ากำลังรุมข่มขืนผู้หญิง แถมยังจะจับเพื่อนเขาส่งตำรวจอีกด้วย

            “ก---ก็มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนี่นา” อย่างไรก็ตามพายุก็เลือกที่จะเถียงต่อไปอีก แม้จะลดระดับของการต่อต้านลงมาแล้วก็ตาม “ยังไงก็ช่างเถอะ มันก็ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นนี่”

            “มันเกิดเรื่องครับ แค่ยังไม่เลวร้ายที่สุดก็เท่านั้น” อรรณพว่า น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย และแรงที่กดตรึงร่างของพายุเอาไว้ก็ผ่อนลงด้วยเช่นกัน “อย่างไรผมก็หวังว่าคุณหนูจะสำนึกผิดในข้อที่ไม่ได้ทักท้วงห้ามปรามเพื่อนนะครับ”

            พายุเงียบไม่ตอบอะไร สายตาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง คล้ายจงใจที่จะไม่สบตากับอรรณพ

            “แล้วพรุ่งนี้ไปขอโทษเธอด้วยกันนะครับ”

            คำพูดของอรณรพทำให้พายุหันขวับมามองทันที “ทำไมจะต้องไปด้วยล่ะ” เขาถาม

            “ถ้ามองในแง่ที่ว่าคุณหนูเป็นเจ้าบ้านและขวนพวกเขามาเที่ยว ก็สมควรจะต้องไปขอโทษเธอที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หรือจะมองในแง่ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ควรจะไปขอโทษเธอที่ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ”

            “กะอีแค่เกือบโดนข่มขืนมันจะอะไรนักหนา ยายนั่นก็โดนแค่จูบด้วย” คนหัวรั้นยังคงเถียงไปเรื่อยอย่างที่ทำให้อรรณพนึกเหนื่อยใจ

            “ถ้าเจ้าตัวไม่เต็มใจ จะโดนแบบไหนมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละครับ” อรรณพว่า

            “เฮอะ ผู้หญิงนี่เรื่องมากชะมัด” พายุพึมพำเสียไม่ดังนัก แต่เพราะอยู่ใกล้ อรรณพก็เลยได้ยินเต็มสองหู หัวหน้าคนงานจึงถามคำถามที่หากเขารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น อรรณพก็คงจะไม่ถามออกไปอย่างนั้น

            “อย่าพูดเหมือนกับว่าคุณหนูจะจูบใครก็ได้อย่างนั้นสิครับ เรื่องแบบนี้เราก็รู้กันอยู่ว่ามันไม่ได้ง่ายเหมือนจับมือทักทายกัน”

            “ใครว่ามันไม่เหมือนกันล่ะ แค่จูบ จะกับใครมันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ” พายุพูดเถียงขึ้นอีก พร้อมกับพิสูจน์ด้วยการกระชากคอเสื้อของอรรณพลงมาประกบจูบอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

            พายุฉกฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังแทรกลิ้นรอนเข้าไปภายในโพรงปากอุ่นนุ่ม กวาดชิมรสชาติอย่างตะกละตะกรามไม่เกรงใจผู้เป็นเจ้าของ รสสัมผัสชนิดนั้นทำให้อรรณตกใจเป็นอย่างมาก แรกทีเดียวเขาคิดจะผลักไสอีกฝ่ายออกไป ทว่าความเสียวสะท้านก็แล่นลามจากปลายลิ้นไปทั่วทั้งร่าง ประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดเข้าอย่างจัง ทำให้หัวหน้าคนงานที่มีประสบการณ์รักเป็นศูนย์จึงไม่อาจควบคุมสติของตนเอาไว้ได้

ไม่กี่อึดใจต่อมาพายุก็สามารถขยับพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของอรรณพได้สำเร็จ ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าแต่มีประสบการณ์รักโชกโชนรุกจูบ จนคนที่นำหน้าเพียงอายุอย่างอรรณพหายใจไม่ทัน และสติก็ใกล้จะหลุดลอยออกจากร่างเต็มที

            กว่าพายุจะยอมถอนริมฝีปากออกไปอรรณพก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตา หัวหน้าคนงานหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างหมดท่า ในสมองว่างเปล่าไปหมดจนแม้แต่ความโกรธเคืองในเรื่องที่ถูกกระทำก็ยังไม่มีอยู่เลย

            “จูบมันก็แค่นี้เอง---อ้าว! ทำไมหอบขนาดนั้นล่ะ?” คนที่คิดแต่จะเอาชนะเพิ่งจะเห็นสภาพของคนที่ตนรุกจูบไปนาทีกว่า สภาพที่พายุเห็นแล้วก็แอบนึกโล่งใจที่อรรณพไม่ได้ขาดอากาศตายไปเสียก่อน

            “อย่างกับคนจูบไม่เป็นเลยแฮะ” ชายหนุ่มพึมพำขณะมองดูผลงานของตัวเอง อรรณพยังคงนอนอยู่บนฟูก แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ใบหน้าที่ปกคลุมด้วยหนวดเคราแลดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด นัยน์เรียวยาวที่เคยดูดุดันก็ปรือปรอยอย่างคนง่วงนอนที่พยายามฝืนสติเอาไว้ แพขนตายาวผิดกับรูปลักษณ์ดิบเถื่อนของเจ้าตัวสะดุดตาพายุจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปเขี่ยดู

            “นี่ ยังไม่ตายใช่ไหม” พายุถามพลางเขี่ยแพขนตายาวเล่นราวกับเป็นของตัวเอง “แค่จูบแค่นี้ทำไมถึงได้หมดสภาพอย่างนี้ล่ะ?”

            “ผ---ผมไม่ใช่---คุณนี่” อรรณพเค้นเสียงตอบมาอย่างยากลำบาก สมองของเขายังมึนงงไม่หาย แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว

            “ไม่ใช่ว่าจูบไม่เป็นหรือไง” พายุว่าอย่างรู้ทัน ใบหน้าใสประดับด้วยรอยยิ้มซุกซนราวกับเด็กคนหนึ่ง หัวหน้าคนงานหรี่ตามองคุณหนูของบ้านด้วยสายตาไม่ไว้วางใจทันทีได้ยินอย่างนั้น และก่อนที่เขาจะได้พูดว่าอะไร คุณหนูก็โน้มกายคร่อมลงมาอีกครั้ง

            “สงสัยพ่อจะให้งานนายหนักไป เลยไม่มีเวลาไปเที่ยว ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะสอนให้เอง” พูดจบเรียวปากนิ่มก็ประกบลงมา ขบเม้มริมฝีปากที่ปิดสนิทแน่นของอรรณพเบาๆ คล้ายกับจะขอให้เปิดทาง ทว่าอรรณพก็ปิดปากแน่นทีเดียว เพราะในความคิดของเขานี่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควรเลยแม้แต่น้อย

            ฝ่ามือแกร่งผลักอกของพายุออกไปเบาๆ และเพิ่มแรงมากขึ้นเมื่อคุณหนูจอมเอาแต่ใจไม่ยอมถอยไปโดยดี เมื่อเป็นเช่นนั้นอรณรพจึงต้องเอ่ยปากบอก แต่นั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว

“พอเถอะครั---” พูดยังไม่ทันจบประโยค พายุก็ส่งลิ้นร้อนเข้ามารุกรานอีกครั้ง คราวนี้พายุไม่ได้รุกหนักเหมือนครั้งแรก แต่ก็ยังทำตามใจตัวเองไม่เปลี่ยน ริ้นร้อนของพายุขยับรุกไล่ลิ้นอันไม่ประสีประสาของอรรณพ พยายามชักนำให้ตอบสนอง แต่อรรณพผู้ที่ตั้งมั่นแล้วว่าจะไม่ยอมทำอะไรอันเป็นการไม่ให้เกียรติตัวเองและอีกฝ่ายด้วย การกระทำที่เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่เช่นนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ให้ผลที่ไม่ดีเสมอ

“โอ๊ย!” อยู่ๆ พายุก็ผละริมฝีปากออกไปแล้วร้องลั่น เปิดโอกาสให้อรรณพขยับหนีจากตำแหน่งอันตรายได้สำเร็จ

“นี่นายกัดฉัน?” พายุเช็ดเลือดที่ปากตัวเองก่อนจะหันมามองด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่มีหรือที่หัวหน้าคนงานจะนึกหวั่นใจในเมื่อเขาลงมายืนอยู่ข้างเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อรรณพเพียงแต่จ้องกลับไปนิ่งๆ บอกว่า “ถ้าไม่กัดคุณหนูจะยอมถอยไปหรือครับ อีกอย่างนั่นก็ถือเป็นการลงโทษข้อหาที่ทำอะไรไม่คิดให้ดีก่อน ถึงคุณหนูจะบอกว่าตัวเองไม่คิดอะไรกับเรื่องจูบ แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะคิดแบบเดียวกับคุณหนู เขาอาจจะโกรธ หรืออาจจะคิดอะไรลึกซึ้งมากกว่าที่คุณหนูคิด แล้วมันจะนำปัญหามาให้ เพราะฉะนั้นคราวหน้าคราวหลังก็อย่าทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้อีกนะครับ”

“เหอะ ทุกทีฉันก็ไม่ได้ไล่จูบคนอื่นเขาไปทั่วหรอก” พายุเถียงด้วยไม่ชอบใจที่ถูกกล่าวหากลายๆ ว่าเป็นคนชอบจูบไม่เลือก

“แต่คุณหนูทำตัวให้คิดว่าเป็นแบบนั้นนี่ครับ” อรรณพว่า “อยู่ๆ ก็มาจูบกันแบบนั้นเป็นใครก็ต้องคิดกันบ้าง”

“ก็บอกว่าฉันไม่ใช่คนแบบนั้นไงเล่า!” พายุเริ่มขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ โดยที่ลืมไปเสียสนิทเลยว่าตัวเขาเองนั่นแหละที่พูดว่าการจูบนั้นจะกับใครก็เหมือนกันทั้งนั้น

“ครับๆ” อรรณพรับคำอย่างขอไปทีพลางเดินไปที่ประตูห้อง ก่อนจะหันกลับมากล่าวว่า “ผมรู้ครับว่าที่คุณหนูทำลงไปในวันนี้เพราะความอยากเอาชนะ แต่คราวหน้าคราวหลังก็คิดให้ดีก่อนนะครับ คืนนี้ผมไม่รบกวนเวลาของคุณหนูแล้ว หลับให้สบายนะครับ”

พูดจบร่างสูงก็รีบออกจากห้องไปทันทีอย่างไม่รอให้เจ้าของห้องได้เอ่ยปากไล่ ทิ้งให้พายุที่อารมณ์เสียส่งเสียงโวยวายอยู่ในห้องเพียงลำพัง




อรรณพเดินกลับมาที่บ้านพักของเขา ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านใหญ่ไปพอสมควร มันเป็นบังกะโลขนาดกลาง มีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องอเนกประสงค์ที่ใช้เป็นห้องทำงานและรับแขกไปพร้อมๆกัน มันเป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่ไฟก็ยังส่องสว่างอยู่ บอกให้รู้ว่า “ธาร” น้องชายของเขายังไม่เข้านอน

“ยังไม่นอนอีกหรอธาร?” อรรณพถามทันทีที่เห็นร่างโปร่งบางของน้องชายนอนคุยโทรศัพท์อยู่บนโซฟา

“อะ---พี่อันมาแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ” ชายหนุ่มรีบวางสายทันทีที่เห็นว่าพี่ชายของตนเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ร่างโปร่งดีดตัวลุกขึ้นนั่ง และส่งเสียงซักถามออกมาเป็นชุดชนิดที่ผู้ถูกถามไม่รู้ว่าจะเริ่มตอบจากตรงไหนก่อนดี

“กลับมาแล้วหรอครับ? ทำไมกลับดึกจัง? ทานอะไรมาหรือยัง? เมื่อเย็นผมทำข้าวผัดไว้ ผมไปอุ่นมาให้ไหมครับ? แล้วนั่นปากไปโดนอะไรมาทำไมถึงได้เจ่ออย่างนั้น? แล้ว---”

“พอๆ พอก่อนธาร” พี่ชายที่เริ่มจะฟังคำของน้องชายไม่ทันยกมือขึ้นห้าม “ถามไม่หยุดอย่างนี้พี่จะตอบเราได้ยังไง?”

“งั้นธารถามแค่นี้ก็ได้ ว่าอย่างไรล่ะครับ จะตอบธารได้หรือยัง?” ธารเป็นน้องที่ดีเสมอ เมื่อพี่บอกว่าให้พอเขาก็หยุดถามต่อ แต่อย่างไรเสียคำถามที่ถามไปแล้วก็ยังต้องการคำตอบอยู่ดี

“ครับๆ นี่พี่มีน้องหรือมีแม่กันแน่นะ?” อรรณพว่าพลางหัวเราะพลางก่อนจะตอบทุกคำถามของน้องชาย พร้อมกับบอกเรื่องที่คุณท่านฝากฝังให้ดัดนิสัยลูกชายด้วย

“แบบนี้จะไหวหรือครับ หน้าพี่อันยิ่งโหดๆ อยู่ด้วย เดี๋ยวคุณหนูก็หัวใจวายกันพอดี” ธารออกความเห็นอย่างเป็นห่วง ซึ่งพอคนฟังได้ฟังแล้วก็ได้แต่แอบกลอกตาไปมา ในความคิดของอรรณพแล้วคนอย่างคุณหนูพายุไม่มีทางกลัวหน้าตาของเขาได้หรอก คนที่น่าเป็นห่วงในเรื่องนี้ก็คือเขาต่างหาก เพราะดูท่าทางคุณหนูจะดื้อและเอาแต่ใจไม่เป็นสองรองใครเลยทีเดียว

“ไม่ไหวก็ต้องไหวแหละ ก็คุณท่านสั่งมาแบบนั้นนี่นา” อรรณพว่าพลางปลดผ้าโพกหัวออกจากศีรษะ หันไปสำรวจสภาพของน้องชายก็รู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ที่ยังตื่นอยู่ก็แค่รอเขากลับบ้านเท่านั้น "ว่าแต่ทำไมถึงได้นอนดึกอย่างนี้ล่ะ? อย่าลืมสิว่าเราต้องรักษาสุขภาพให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นอาการมันจะทรุด”

“เมื่อตอนเย็นผมก็งีบไปแล้วล่ะน่า พี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอครับ” ธารเถียงอย่างไม่เต็มเสียงเท่าไรนัก เขาเองก็รู้ตัวดีว่า

“ไปนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้ต้องไปทำงานไม่ใช่หรือไง พีก็จะอาบน้ำนอนแล้วเหมือนกัน”

“ครับ รีบอาบน้ำแล้วรีบนอนเลยนะครับ อ้อ อย่าลืมเป่าผมกับเคราให้แห้งนะครับ นอนทั้งชื้นๆ มันไม่ดี ถ้าไม่ทำผมจับโกนจริงๆ ด้วย”

“ครับๆ คุณแม่ รีบไปนอนได้แล้ว” อรรณพรับคำทั้งรอยยิ้ม เขาโยกหัวน้องชายเบาๆ อย่างเอ็นดู ธารทำให้เขายิ้มได้เสมอ และเพียงแค่นี้ความเหนื่อยล้าตลอดจนเรื่องชวนกลุ้มต่างๆ ที่สั่งสมมาทั้งวันก็พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น อรรณพรู้สึกเหมือนได้เติมพลัง และพร้อมแล้วสำหรับศึกหนักในวันต่อไป


===============จบตอนที่ 2=============

เกาะร้างเปี่ยมรัก---ตอนที่1

เกาะร้างเปี่ยมรัก

ตอนที่ 1

                รถตู้สีดำคันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพักตากอากาศริมทะเลหลังใหญ่ เสียงล้อบดทับก้อนกรวดปูถนนเรียกให้เด็กรับใช้ในบ้านรีบออกมาต้อนรับ พวกหล่อนรอการมาถึงของแขกคนสำคัญกลุ่มนี้มาตั้งแต่เช้า จนตะวันบ่ายคล้อยใกล้ค่ำคณะเดินทางที่บอกให้เตรียมสำรับมื้อเที่ยงเอาไว้กลับเพิ่งจะมาถึง

            คนขับรถอันเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัด ก้าวกระโดดลงจะรถด้วยรีบเร่ง ร่างในชุดเครื่องแบบสีเทาแล่นอ้อมหน้ารถมายังประตูห้องโดยสาร แล้วเปิดมันออกอย่างนุ่มนวลขัดกับอาการรีบร้อนของเขาในทีแรก

            ผู้ที่ก้าวลงจากรถเป็นคนแรกคือชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าคมคายและเรือนผมสีฟ้าสะดุดตา เขาแต่งกายในชุดลำลองอย่างวัยรุ่น แต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับแต่ละชิ้นนั้นราคาแพงกว่าเงินเดือนของคนวัยทำงานหลายๆ คน ลำพังแค่แว่นตากันแดดสีชาของเขาก็มีราคาร่วมหลายหมื่นแล้ว

            “ยินดีต้อนรับค่ะคุณหนู เดินทางมาไกลเหนื่อยมากไหมคะ? เข้าไปพักข้างในก่อนเถอะค่ะ” ป้าอิ่มแม่บ้านอาวุโสปรี่เข้ามารับหน้าคุณหนูคนเดียวของบ้าน สายตาของนางยามที่มองคุณหนูนั้นเปี่ยมไปด้วยความรัก สำหรับนางแล้วไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไรคุณหนูพายุก็ยังเป็นเด็กน้อยๆ ที่นางคอยเฝ้าดูแลอยู่เช่นเดิม นางดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นหน้าคุณหนู และยิ่งนานๆ ทีคุณหนูจะกลับมาที่บ้านชายทะเลเช่นนี้ นางยิ่งแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยอิ่มเอิบใจ

            พายุทักทายหญิงชราเพียงสั้นๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเพื่อนๆ ของเขาที่ทยอยลงมาจากรถ กิริยาเช่นนั้นทำให้บรรดาแม่บ้านหันมาให้ความสนใจกับแขกคนอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะป้าอิ่มที่เคยได้ยินกิตติศัพท์มาบ้างว่าคุณหนูของนางนั้นคบคนที่ไม่น่าคบเอาเสียเลย ผู้ที่มาเพิ่มเติมอีกห้าคนนั้นเป็นชายเสียสามและเป็นหญิงอีกหนึ่ง แต่ละคนยิ้มแย้มแจ่มใสดูไม่มีพิษมีภัย น่าแปลกที่คุณท่านบ่นไม่ชอบใจเด็กๆ กลุ่มนี้เสียมากมาย ทั้งยังย้ำหนักหนาว่าให้นางดูแลคุณหนูพายุให้ดี

            แต่ป้าอิ่มก็หลงผิดไปได้เพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากยืดเส้นยืดสายกันพอสมควรแล้วพวกเพื่อนๆ ของคุณหนูก็เริ่มออกลายให้น่าปวดหัว คนหนึ่งร้องหาสุราตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด อีกคนก็โยนถุงพลาสติกที่น่าจะบรรจุเสื้อผ้าเปียกเอาไว้ให้แม่บ้านเอาไปซัก และคู่รักหนุ่มสาวก็เริ่มพลอดรักกันโดยไม่สนใจสายตาใครแถวนั้น ส่วนอีกคนแม้จะไม่โวยวายแต่ก็ไม่ทักทายใครๆ ในบ้านราวกับมองไม่เห็น เอาแต่พูดคุยกับคุณหนู และชวนกันเข้าไปพักผ่อนในบ้าน

            เหล่าคนที่มาต้อนรับจึงได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร “พวกเราก็เอาของคุณๆ ขึ้นไปเก็บก่อนเถอะ แล้วก็ให้คนยกน้ำยกขนมไปให้พวกคุณๆเขาด้วย” ป้าอิ่มหันไปสั่งงานพวกเด็กๆ ที่ดูจะยังตกใจไม่หาย

            “เราก็ไปพักซะหน่อยนะ มีห้องพักคนงานอยู่ทางด้านโน้นเดี๋ยวจะให้เด็กมันพาไป ขับรถมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งเอา ว่าแต่นี่ทานข้าวกันมาหรือยัง?” แล้วหญิงชราก็หันมากล่าวกับคนขับรถที่ยืนเงียบอยู่

            “พวกคุณๆ เขาทานกลางวันกันแล้วที่น้ำตกแล้วล่ะครับ ตอนนี้ก็คงจะเหนื่อยแล้วก็เพลียมากกว่า” คนขับรถตอบหญิงชราที่อาวุโสกว่าอย่างสุภาพ

            “แล้วเราล่ะทานอะไรมาหรือยัง”

            “ยังเลยครับ พวกคุณๆ ใช้ให้ไปซื้อนั่นซื้อนี่ไม่หยุด กว่าจะได้พักก็ได้เวลาออกรถพอดี” คนขับรถได้ทีก็โอดครวญเสียชุดใหญ่ ฟังจากน้ำเสียงและดูจากสีหน้าก็พอจะรู้ว่าไม่ชอบเด็กๆ กลุ่มนี้เอาเสียเลย

            ป้าอิ่มดูอาการคนขับรถรุ่นลูกแล้วก็อมยิ้ม นางตบไหล่คนขับรถอย่างปลอบใจพลางว่า “เด็กๆ ก็แบบนี้แหละ อย่าไปคิดมากเลย มันจะรกอกรกใจเปล่าๆ ตอนนี้เราก็หมดหน้าที่แล้วนี่ ไปกินข้าวพักผ่อนให้สบายเถอะ ถ้าคุณหนูอยากจะไปไหนหรือเรียกใช้ใครแถวนี้ก็มีคนอีกตั้งเยอะแยะให้เรียกใช้ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ”

            “ขอบคุณครับป้า” คนขับรถที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเต็มทียกมือไหว้หญิงชราท่วมหัว ก่อนจะปลีกตัวไปพักผ่อน

            ขณะเดียวกันที่อีกมุมหนึ่งของบ้านซึ่งถูกบดบังไว้ด้วยแนวรั้วต้นไม้หนาทึบ คนงานกำลังเร่งขนข้าวของลงจากรถกระบะเพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงในคืนนี้ ผู้ที่ยืนคุมงานอยู่นั้นคือหัวหน้าคนงานนามว่าอรรณพ เขาเป็นชายรูปร่างสูงโปร่งที่ไว้ผมยาวถึงกลางหลัง ศีรษะโพกไว้ด้วยผ้าผืนหนึ่งอย่างลวกๆ ขอบผ้าบดบังแนวคิ้วจนมิด มองเห็นเพียงดวงตาคมดุดันคู่หนึ่งสุกสกาวอยู่ท่ามกลางหนวดเคราที่รกครึ้ม ทั้งหมดนี้เมื่อประกอบเข้ากับการเป็นคนนิ่งๆ พูดน้อยจึงทำให้อรรณพเป็นคนที่ดูน่ากลัวในสายตาของผู้อื่น ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนสนิทที่คบหากันมาหลายปี ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนดุหรือโหดร้ายอะไรเลย

            “เฉย! มัวเหม่ออะไรอยู่?” เสียงตวาดไม่ดังนักทำให้นายเฉยตกใจจนสะดุ้งโหยง ชายกลางคนฟันหลอหน้าตาสดใสหันกลับมาหาหัวหน้าคนงาน ส่งยิ้มประจบประแจงราวกับจะขอลุแก่โทษ บอกว่า

            “เฉยไม่ได้เหม่อนะนาย เฉยมองคุณหนูตะหาก ไม่ได้เห็นตั้งกะตัวกะเปี๊ยกเดียว เดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มแล้ว”

            อรรณพมองผ่านแนวรั้วต้นไม้ไปทางหน้าเรือนใหญ่ก็เห็นรถตู้ราคาแพงจอดอยู่ ใกล้กันนั้นมีพวกคนดูแลบ้านและเด็กหนุ่มสาวอีกห้าคน เป็นชายสี่ หญิงหนึ่ง ผู้ชายทั้งสี่คนนั้น คะเนจากสายตาก็พอจะเดาได้ว่าแต่ละคนนั้นสูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร อรรณพจำได้ว่าชายหนุ่มหน้าคมประพิมพ์ประพายคล้ายคุณท่านนั้นคือคุณหนูพายุ แต่เพราะผมสีฟ้าสดใสนั่นทำให้เขาเกือบจะจำคุณหนูไม่ได้ในทีแรก

            “คุณหนูมาแล้วก็รีบขนของเข้าสิ เดี๋ยวก็เตรียมของไม่ทันหรอก” อรรณพหันมาพูดกับคนของตน ก่อนจะหันไปเร่งคนงานคนอื่นๆ ที่มัวแต่จ้องสาว ทำเอาพวกนั้นสะดุ้งกันไปเป็นแถบๆ ต่างคนต่างหลบสายตา (ที่คิดกันไปเองว่า) ดุดันของหัวหน้า เร่งขนของสดและลังเครื่องดื่มจากรถส่งของไปที่โรงครัวเป็นการใหญ่ เย็นนี้คุณหนูกับเพื่อนๆ จะจัด ปาร์ตี้ กันหากเตรียมของไม่ทันคงจะเป็นปัญหาน่าดู

            อรรณพเฝ้าดูคนงานขนของจนครบหมดทุกกล่อง และตรวจนับให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรขาดไป ถึงเงินที่ใช้ซื้อของในครั้งนี้จะไม่ใช่เงินของเขาแต่อรรณพก็ไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว เมื่อเสร็จจากงานตรงนี้แล้วเขาก็ปลีกตัวไปตรวจสอบความเรียบร้อยที่ บ้านนก เป็นลำดับต่อไป

            บ้านนก ที่ว่านี้คืออาคารหลายชั้นที่สร้างเลียนแบบถ้ำเพื่อให้นกนางแอ่นเข้ามาทำรังจะได้สามารถเก็บรังของพวกมันไปขายได้ การทำบ้านนกนั้นดูเหมือนง่ายแต่ก็ไม่ง่าย ในฐานะคนดูแลอรรณพต้องหมั่นตรวจสอบความเรียบร้อยของบ้านนกอยู่เสมอ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเขาจะไม่เข้าไปข้างใน แค่ตรวจดูมาตรบอกความชื้นและภาพวงจรปิดที่อยู่ในสำนักงานเท่านั้น เพราะพวกนกนั้นค่อนข้างอ่อนไหวต่อการบุกรุกเป็นอย่างมาก แม้แต่คนที่จะเข้าไปเก็บรังนกอรรณพยังต้องคัดเลือกไว้เพียงอาคารละสองคนเท่านั้นเพื่อไม่ให้พวกนกผิดกลิ่นจนไม่ยอมกลับมาทำรังอีก

            ตรวจความเรียบร้อยของบ้านนกเสร็จแล้วอรรณพก็ตรวจทานบัญชีอยู่ในสำนักงานต่ออย่างไม่คิดจะหยุดพัก มันเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้วสำหรับคนงานทั้งหลายที่ไฟสำนักงานจะเปิดอยู่จนกระทั่งดึกดื่น อรรณพทำงานเหมือนไม่มีเวลาเลิกงาน เมื่อเริ่มแล้วก็จะทำงานต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุดพัก สถิติสูงสุดของเขาคือสี่วันสี่คืน ก่อนที่จะล้มทั้งยืน และหลังจากนั้นอรรณพก็ถึกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้โหมทำงานหนักไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น

            อรรณพเลิกงานตอนสามทุ่มกว่าๆ และหวังว่าจะไปขอฝากท้องกับป้าอิ่มเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ขณะที่เดินเลียบชายหาดกลับไปยังบ้านพักหูก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวแว่วมาตามสายลม ร่างสูงชะงักเท้า เงี่ยหูฟังให้แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงคนร้องจริงๆ ไม่ใช่เสียงลมหรือพวกสัตว์กลางคืน ก่อนจะออกวิ่งสุดฝีเท้าเมื่อมั่นใจแล้วว่าเสียงนั่นคือเสียงคนขอความช่วยเหลือจริงๆ

            ที่หาดหลังบ้านมีกองไฟกองใหญ่ลุกโชนอยู่ รอบๆ จัดวางโต๊ะ เก้าอี้ และเตาย่างอาหารทะเลไว้อย่างพร้อมสรรพ เสียงเพลงดังในจังหวะสนุกสนาน กลิ่นอายของงานเลี้ยงยังคงอบอวลไปทั่ว แต่สิ่งที่อยู่ในความสนใจของอรรณพกลับมีเพียงหญิงสาวที่กำลังกรีดร้องและดิ้นรนอยู่ในวงล้อมของชายสามคน

            แสงจากกองไฟทำให้อรรณพรู้ว่าที่กำลังมีเรื่องกันอยู่คือบรรดาเพื่อนของคุณหนูนั่นเอง และที่น่าหงุดหงิดใจเป็นที่สุดก็คือการที่ได้เห็นคุณหนูนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีฟ้าสะดุดตานั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร เสียงกรีดร้องของหญิงสาวยังคงดังอยู่ พร้อมกับถ้อยคำร้องขอความเมตตาจากชายทั้งสามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นอรรณพจำได้ว่าเป็นแฟนหนุ่มของหล่อนเอง

            แต่คนเหล่านั้นกลับไม่ฟังหล่อนเลยแม้สักพยางค์หนึ่ง ซ้ำร้ายชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของหล่อนกลับกล่าวย่ำยีจิตใจของหล่อนจนไม่เหลือชิ้นดี

            “มึงจะสะดิ้งทำไมวะ ของเคยๆ กันอยู่เพิ่มเพื่อนกูมาจะเป็นไร?” ถ้อยคำอันน่าขยะแขยงเช่นนั้นทำให้เส้นอารมณ์ของอรรณพขาดผึง ร่างสูงพุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อสองในสามให้ถอยห่างออกไป ก่อนจะแทรกตัวเข้าไประหว่างชายอีกคนและหญิงสาว ใช้ร่างกายของตัวเองเป็นเกราะกำบังให้แก่หล่อน ผู้ที่กำลังสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ

            “พวกคุณทำบ้าอะไรกัน!” หัวหน้าคนงานตวาดก้อง เสียงของเขาดังพอที่จะเรียกให้คนในบ้านออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น และก็ดังพอที่จะปลุกความกล้าใจใจของพวกที่ซุ่มดูอยู่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรให้ออกมายืนหยัดเพื่อความถูกต้อง

            “นายนั่นแหละมายุ่งอะไรด้วย!” พายุที่นิ่งเฉยมาตลอดตวาดกลับ ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสัด ย่างเข้ามาประจัญหน้ากับอรรณพ ท่วงท่าของเขาเซซังเล็กน้อยด้วยฤทธิ์ของน้ำเมาที่ดื่มเข้าไป ชายหนุ่มจ้องหน้าอรรณพอย่างเอาเรื่อง

สำหรับพายุแล้วอรรณพเป็นคนแปลกหน้าที่บุกรุกเข้ามากระทำหยาบคายต่อเพื่อนของเขา และทำให้เขาเสียหน้า แถมยังทำให้ โชว์เด็ด ที่เหล่าเพื่อนสัญญาว่าจะแสดงให้เขาได้ชมพังลงอย่างไม่เป็นท่าไปเสียด้วย

            “เกิดอะไรขึ้นกันคะคุณอัน คุณหนู?” ป้าอิ่มที่เพิ่งวิ่งมาถึงถามเสียงตื่นมองคนนั้นคนนี้ทีอย่างตกใจและสับสน แต่เมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังอรรณพ หญิงสูงวัยก็ร้องอุทานออกมาคำหนึ่ง ถลาเข้าไปประคองหญิงสาวทันที

“ตายแล้ว! แม่หนูเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะคะคุณอัน”
            “ป้าอิ่มถามคุณหนูของป้ากับเพื่อนๆ ดีกว่าครับว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่นี่” อรรณพตอบเสียงแข็ง สายตาคมกร้าวจ้องเขม็งไปยังวัยรุ่นทั้งสี่ สองมือของอรรณพกำแน่นอย่างที่ป้าอิ่มเข้าใจดีว่าชายหนุ่มต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการควบคุมอารมณ์ของตน—อรรณพเกลียดการใช้ความรุนแรงทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงทางเพศ และมันก็เป็นการยากเหลือเกินที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้ใช้ความรุนแรงที่แสนชัง

            ป้าอิ่มกอดหญิงสาวเอาไว้แน่นหันไปกระซิบบอกให้ใครสักคนหาผ้ามาห่อตัวให้เธอ ก่อนจะหันไปถามคุณหนูของนางว่า “มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณหนู?”

            “ไม่มีอะไรหรอกครับป้าอิ่ม เพื่อนๆ ผมมันแค่เล่นหยอกกันเท่านั้นแหละ” พายุบอกปัดเพราะแต่ไหนแต่ไรมาเพื่อนของเขาก็ชอบ เล่น กันเป็นหมู่คณะอยู่แล้ว แต่ก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่สาวเจ้าดูจะเล่นตัวมากกว่าครั้งไหนๆ

คำพูดของพายุทำให้อรรณพตวัดสายตาไปมองอย่างไม่พอใจ แลถามเสียงกระแทกว่า “พยายามข่มขืนนี่นะหรือที่บอกว่าเล่น!” เสียงและถ้อยคำของอรรณพดุดันจนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องสะดุ้งกันไปหมด ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมาอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คนงานบางคนที่เป็นพยานรู้เห็นก็กระซิบกระซาบบอกเล่าเรื่องราวในมุมของตนให้เพื่อนฟัง บรรยากาศที่น่าอึดอัดแผ่กระจายไปทั่ว ไม่มีคนงานคนใดกล้าพูดหรือทำอะไร เพราะคนหนึ่งก็เป็นลูกชายของเจ้านาย และอีกคนหนึ่งก็เป็นหัวหน้าที่พวกตนยำเกรงไม่แพ้คุณท่านที่เป็นเจ้านายใหญ่

            “แล้วมึงจะมายุ่งอะไรด้วยนั่นแฟนกูนะ!” หนึ่งในเพื่อนของคุณหนูตะคอกถามขึ้นมา สีหน้ากับน้ำเสียงของเขาสื่อชัดถึงความไม่พอใจ และยังไม่สำนึกผิดต่อสิ่งที่ทำลงไปเลยแม้แต่น้อย

            “คนเป็นแฟนกันยิ่งต้องไม่ทำแบบนี้!” อรรณพตวาดลั่น ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องด้วยเสียงอันดังว่า “เฉยเรียกตำรวจมาจับพวกนี้ขึ้นโรงพักให้หมดทุกคน รวมถึงคุณหนูด้วย!”

            “ว่าไงนะ!” สิ้นเสียงของอรรณพชายคนที่เป็นแฟนกับหญิงสาวผู้เสียหายก็ปราดเข้ามากระชากคอเสื้อของหัวหน้าคนงานทันที หญิงสาวและป้าอิ่มที่อยู่ใกล้กรีดร้องออกมาด้วยตกใจ คนงานชายคนอื่นๆ ก็ทำท่าจะเข้ามาแยกแต่ก็ถูกอรรณพห้ามด้วยสายตาเสียก่อน

            “ผมบอกว่าจะแจ้งจับพวกคุณทุกคน” อรรณพกล่าวเสียงนิ่ง แววตาดุดันจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง

            “แล้วนายเป็นใครถึงได้เข้ามายุ่งเรื่องของพวกฉัน ก็บอกไปแล้วไงว่าเล่นกัน!” พายุพูดขึ้นบ้าง ท่าทางของเขาสงบกว่าเพื่อนอีกสามคนมาก แต่กระนั้นก็ยังปิดความขุ่นเคืองในน้ำเสียงไม่มิด ชายหนุ่มเห็นแล้วว่าป้าอิ่มที่เป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านดูจะเกรงใจผู้ชายหน้าตาดิบเถื่อนตรงหน้าไม่น้อย ดังนั้นแม้จะไม่ชอบหน้าอรรณพสักเท่าไหร่ เขาก็เลือกที่จะคุยดีๆ ไม่ใช้กำลังเหมือนอย่างเคย

            “คุณอันเป็นหัวหน้าคนงานที่นี่ค่ะคุณหนู” กลับเป็นป้าอิ่มที่เป็นฝ่ายตอบคำถามนั้น หญิงชราส่งตัวหญิงสาวผู้ซึ่งกำลังขวัญเสียให้เกดสาวใช้อีกคน เพื่อที่นางจะได้ทำหน้าที่คนกลางไกล่เกลี่ยได้อย่างถนัด “ป้าขอร้องทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันเลยนะคะ” นางอ้อนวอนต่อทั้งสองคน

แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่เพื่อนของคุณหนูทำนั้นไม่ถูกต้อง แต่นางก็รักและเป็นห่วงคุณหนูเกินกว่าที่จะยอมให้เรื่องถึงตำรวจ เพราะหากเป็นเช่นนั้นพายุอาจจะโดนหางเลขไปด้วย “ป้ารู้ว่าสิ่งที่พวกคุณๆ เขาพยายามจะทำมันไม่ถูกต้อง แต่นั่นก็คงจะเป็นเพราะเมามากเลยไม่ทันคิด อีกอย่างหนูคนนั้นก็ไม่เป็นอะไรแล้ว คุณอันก็อย่าไปแจ้งควาให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ”

            “แล้วป้าจะให้ปล่อยไปเฉยๆ หรือครับ?” อรรณพหันมาถาม น้ำเสียงไม่พอใจเป้นอย่างมาก แต่กระนั้นก้ทำเสียงดุใส่ป้าอิ่มที่เป็นเหมือนแม่อีกคนของเขาไม่ลง “ดูยังไงเด็กพวกนี้ก็ไม่สำนึกเลยสักนิด และถึงครั้งนี้จะไม่สำเร็จแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีครั้งต่อไป ดีไม่ดีอาจจะเคยทำกันมาแล้วก็ได้ถึงได้ย่ามใจทำเรื่องพรรค์นั้นในที่แจ้ง แถมยังมีคนอยู่เต็มไปหมดแบบนี้”

            “ป้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ ป้าแค่ไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจ คุณๆ เขาก็เมากันมากด้วย เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยเรียกมาอบรมกันนะคะ”

            อรรณพเงียบไปนานทีเดียว ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจำยอมว่า “ก็ได้ครับ ผมไม่แจ้งตำรวจก็ได้” พูดแล้วอรรณพก็หันไปส่งสัญญาณให้กับลูกน้องที่ยืนมุงกันอยู่อย่างห่างๆ และหันมาบอกกับหญิงชราว่า “แต่เรื่องอบรมผมขอจัดการเองก็แล้วกันนะครับป้าอิ่ม”

            แล้วอรรณพก็ทำตามที่พูดจริงๆ เขาให้คนงานสามคนคุมตัวเพื่อนของคุณหนูที่ตั้งท่าจะขัดขืนอีกครั้งเข้าไปในบ้าน และร้องสั่งนายเฉยให้ไปเตรียมรถ

            “คืนนี้ไปพักที่โรงแรมของเราก่อนก็แล้วกันนะครับ ผมรับรองว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคุณอีก” อรรณพบอกกับหญิงสาวผู้ที่กำลังขวัญเสีย ก่อนจะให้สาวใช้สองคนไปช่วยเธอเก็บข้าวของ หญิงสาวพยักหน้าพลางร้องสะอื้น ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้ ดูเหมือนเธอก็ไม่อยากจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับกลุ่มคนที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นคนของเธอเช่นกัน

            “ป้าอิ่มก็พาคุณหนูขึ้นห้องเถอะครับ” อรรรพหันไปบอกกับหญิงชราที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ข้างคุณหนูของนาง ผู้ซึ่งตอนนี้กำลังทำหน้าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก อรรณพเองก็พอจะมองออกว่าพายุไม่ชอบหน้าเขาเอามากๆ และต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวที่จะยอมอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

            เมื่ออรรณพบอกมาอย่างนั้นป้าอิ่มก็หันไปข้อร้องกึ่งอ้อนวอนให้พายุยอมเข้าไปในบ้าน ซึ่งชายหนุ่มก็ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี แต่ในขณะที่เดินผ่านอรรณพไปนั้นเองพายุก็พูดขึ้นให้ได้ยินเพียงสองคนว่า “เป็นแค่ลูกจ้างคราวหลังอย่าสะเออะมาสั่งเจ้านาย”

            “ที่นี่ผมมีสิทธิ์สั่งได้ทุกคนยกเว้นคุณท่าน” อรรณพตอบกลับไปด้วยเสียงที่เบาพอกัน แต่กระแสเสียงนั้นบอกชัดว่าเขาไม่ได้กลัวเกรงลูกชายคนเดียวของเจ้านายเลยแม้แต่น้อย พายุจ้องตาอรรญพอย่างเอาเรื่อง

            “ฉันจะให้พ่อไล่นายออก”

            “เชิญครับ” คำพูดของอรรณพยิ่ทำให้พายุจ้องหน้าเขาเขม็งก่อนจะเดินปึงปังเข้าบ้านไป

ฝ่ายอรรณพก็มองตามไปพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาหันไปสั่งงานคนงานที่เริ่มเข้ามาเก็บกวาดพื้นที่โดยไม่ต้องให้บอกว่า

            “วันนี้เพิ่มเวรยามในบ้านด้วย อย่าให้มีคนเมาที่ไหนไล่ปล้ำคนในบ้านเราอีก แล้วก็อย่าให้เพื่อนคุณหนูชิงกลับไปก่อนด้วย”

            “นายไม่ต้องห่วงพวกผมไม่ปล่อยคนพวกนั้นทำอะไรอีกแน่” คนงานคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างแข็งขัน พวกเขาเองต่างก็ไม่พอใจในการกระทำของชายทั้งสาม และรวมไปถึงตัวคุณหนูเองด้วยที่ไม่ได้ห้ามปรามเพื่อนของตัวเองเลย ติดแต่เพียงว่าพวกเขาขลาดกลัวเกินกว่าจะประจันหน้ากับเจ้านาย แต่เมื่อหัวหน้าออกโรงเองเช่นนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะร่วมด้วย

            “ดี” อรรณพพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปสบตากับลูกน้องคนสนิทที่ไม่ได้รับมอบหมายให้ไปอบรมตัวการทั้งสามคนนั้นว่า “พวกนายก็ไปตามสืบเรื่องของเด็กพวกนั้นด้วยก็แล้วกัน คุณท่านเองก็เคยบอกฉันว่าเพื่อนๆ คุณหนูกลุ่มนี้ไว้ใจไม่ได้ ถ้าพวกนั้นเคยมีประวัติจะได้เอาเรื่องให้ถึงที่สุด แล้วจะได้กันคุณหนูออกไปด้วย”

            “ครับนาย แต่ถ้า---คุณหนูร่วมด้วยล่ะครับ” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างไม่รู้จะเต็มเสียงนัก ด้วยกลัวว่าหัวหน้าจะโกรธที่ตนกล้าพูดถึงคุณหนูในแง่ร้ายเช่นนั้น

            “ก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย” อรรรพกล่าวเพียงแค่นั้นก็ผละจากไป ทิ้งให้พวกคนงานยืนมองหน้ากันอย่างสไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำตามที่หัวหน้าของตนบอกได้จริงๆ หรือไม่ หากว่าคุณหนูของพวกเขาเคยทำเรื่องผิดพลาดมาจริงๆ

อรรณพตามไปส่งหญิงสาวผู้เสียหายที่โรงแรม โดยมีเกดอาสานอนเป็นเพื่อนด้วย เนื่องจากไม่อยากปล่อยให้หญิงสาวต้องอยู่เพียงลำพังหลังจากที่เพิ่งผ่านสถานการณ์เลวร้ายมา

“พักที่นี่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ น้องชายผมเป็นผู้จัดการอยู่ที่นี่ มีอะไรเรียกใช้มันได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลย” อรรณพบอกกับหญิงสาวอีกครั้งตอนที่พาหญิงสาวทั้งสองมาส่งที่ห้อง มันเป็นห้องพิเศษที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคารหลัก เป็นจุดที่ปลอดภัยจากคนนอกมากที่สุด และสำหรับคนในเองอรรณพก็เชื่อใจคนของเขา หรืออย่างน้อยคนเหล่านั้นก็วางใจได้มากกว่าเพื่อนๆ ของคุณหนูแน่นอน

            อรรณพตรวจดูกลอนประตูหน้าต่างภายในห้องอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะขอตัวกลับเพื่อให้สองสาวได้พักผ่อนกันเสียที

            “ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ขอบคุณอรรณพจากใจจริง เธอยังดูเสียขวัญอยู่แม้จะสงบลงบ้างแล้วก็ตาม

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ผิดที่ดูแลความปลอดภัยให้ไม่ดีพอ ถือเสียว่านี่เป็นคำขอโทษจากผมก็แล้วกันนะครับ” อรรณพกล่าวยิ้มๆ แต่รอยยิ้มของเขาก็ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิดใต้หนวดเคราอันรกครึ้ม คงมีแต่ดวงตาเท่านั้นที่ทอแสงอ่อนโยนจนสัมผัสได้ แม้ว่าอีกฝ่ายแทบจะเรียกได้ว่าไม่รู้จักกัน



            ระหว่างเดินทางกลับกระเพาะเริ่มประท้วงร้องขออาหารอรรณพจึงต้องแวะร้านข้าวต้มโต้รุ่งข้างทางอย่างเสียไม่ได้ และในระหว่างที่ทานข้าวอยู่นั้นเองเสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น

            “ครับคุณท่าน อันพูดครับ”

            “เจ้าพายุมันก่อเรื่องใช่ไหม?เสียงของผู้มีพระคุณดังตอบมาทันที ดูเหมือนว่าคุณท่านจะทราบเรื่องในคืนนี้แล้ว

            “จริงๆ แล้วเป็นเพื่อนของคุณหนูครับ แต่คุณหนูก็ไม่ได้ห้าม” อรรณพตอบไปตามจริง

            “เฮ้อ! เจ้าลูกคนนี้นี่ชักจะเสียคนใหญ่แล้ว คบเพื่อนก็มีแต่เพื่อนเกเรทั้งนั้น” แว่วสียงบ่นพึมพำมาตามสาย ดูเหมือนว่าคนเป็นพ่อจะห่วงลูกชายไม่น้อยเลยทีเดียว

            “ผมสั่งให้คนตามสืบกับจับตาดูเอาไว้แล้วครับคุณท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

            “เธอนี่รู้ใจฉันจริงๆ เลยนะอัน” คุณท่านหัวเราะอย่างชอบใจ เพราะอย่างนี้แหละเขาถึงได้วางใจให้อรรณพดูแลกิจการรังนกที่ภาคใต้ทั้งหมด และบางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่เขาจะฝากฝังสิ่งที่สำคัญกว่ากิจกรรังนกให้อรรณพดูแล

            “อัน ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหม?”

            “อะไรครับ?”

            “ช่วยดัดนิสัยลูกชายฉันที”

            “ครับ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะลองพูดกับคุณหนูดูนะครับ”

            “อืม ก็ลองพูดกับมันดูหน่อยก็แล้วกัน แต่ฉันว่ามันก็คงจะไม่ฟังหรอก น่าส่งไปดัดสันดานเสียมากกว่า” ผู้เป็นพ่อบ่นถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจ “เอาอย่างนี้ดีกว่าอัน นายไปจัดเตรียมของให้พร้อม พรุ่งนี้ฉันจะส่งลูกไปอยู่เกาะสองกับนาย”

            “อะไรนะครับ?” หัวหน้าคนงานทวนคำอย่างไม่อยากจะเชื่อหู มือที่ถือตะเกียบชะงักกึก จนลูกชิ้นร่วงลงน้ำเสียงดังจ๋อม หน้าตาของอรรณพคงจะตลกมากทีเดียว หากว่าใบหน้าของเขาไม่ได้ปกคลุมไปด้วยหนวดเครา

            “ก็อย่างที่บอก ฉันจะส่งพายุไปดัดนิสัยที่เกาะสอง เริ่มไปอยู่ตั้งแต่พรุ่งนี้เลย เพราะถึงอย่างไรมันก็ปิดเทอมอยู่พอดี ฝากนายดูแลมันด้วยก็แล้วกัน”

            “แต่คุณท่านครับ เรื่องงาน---” อรรณพตั้งท่าจะแย้ง เพราะหากเขาต้องไปอยู่เกาะก็จะไม่มีคนมาดูแลงานในส่วนของเขาแทน ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่ต่อกิจการของคุณท่านได้


            “เรื่องงานก็ให้หัวหน้าฝ่ายแต่ละฝ่ายดูแลไปเหมือนเดิมนั่นแหละ” แต่พูดยังไม่ทันจะจบประโยค ผู้เป็นนายก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน น้ำเสียงดูจะไม่เป็นกังวลสักเท่าไหร่ที่หัวเรือทางภาคใต้จะต้องหยุดงานไปสักพัก “แล้วงานในส่วนของนายก็ให้ธารรับผิดชอบแทน เรื่องแค่นี้ไม่เป็นปัญหาหรอกน่า” ในเมื่อเจ้าของกิจการพูดมาอย่างนั้นมีหรือที่อรรณพจะขัดได้ หัวหน้าคนงานจึงได้แต่รับคำและจัดการตามความประสงค์ของผู้เป็นนาย

=================จบตอนที่ 1===============


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ